ترجمة سورة سبأ

الترجمة التايلاندية

ترجمة معاني سورة سبأ باللغة التايلاندية من كتاب الترجمة التايلاندية.
من تأليف: مجموعة من جمعية خريجي الجامعات والمعاهد بتايلاند .

[34.1] บรรดาการสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺซึ่งสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดินเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และบรรดาการสรรเสริญในปรโลกเป็นกรรมสิทธิ์ของพระองค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงปรีชาญาณ ผู้ทรงรอบรู้เชี่ยวชาญ
[34.2] พระองค์ทรงรอบรู้ถึงสิ่งที่เข้าไปอยู่ในแผ่นดิน และสิ่งที่ออกมาจากมัน และสิ่งที่ลงมาจากฟากฟ้า และสิ่งที่ขึ้นไปสู่ในนั้น และพระองค์เป็นผู้ทรงเมตตา ผู้ทรงอภัยเสมอ
[34.3] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า วันอวสานนั้นจะไม่มาถึงเราดอก จงกล่าวเถิด(มุฮัมมัด) หามิได้ ขอสาบานด้วยพระเจ้าของฉัน ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัย มันจะเกิดขึ้นแก่พวกท่านอย่างแน่นอน ไม่มีแม้แต่น้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลาย และในแผ่นดิน และที่เล็กยิ่งกว่านั้นและที่ใหญ่กว่านั้น จะรอดพ้นจากพระองค์ เว้นแต่จะอยู่ในบันทึกอันชัดแจ้งทั้งสิ้น
[34.4] เพื่อที่พระองค์จะทรงตอบแทนแก่บรรดาผู้ศรัทธาและประกอบความดีทั้งหลาย ชนเหล่านั้นสำหรับพวกเขาจะได้รับการอภัยโทษและปัจจัยยังชีพอันมีเกียรติ (คือสวนสวรรค์)
[34.5] ส่วนบรรดาผู้เพียรพยายามขัดขวางอายาตทั้งหลายของเรานั้น ชนเหล่านั้นสำหรับพวกเขาจะได้รับการลงโทษอันเลวร้ายอย่างเจ็บปวด
[34.6] และบรรดาผู้ไดรับความรู้นั้น ตระหนักดีว่า สิ่งที่ได้ถูกประทานแก่เจ้าจากพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นสัจธรรม และจะชี้นำไปสู่แนวทางแห่งพระผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[34.7] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าว (เยาะเย้ย) ว่า เราจะชี้แนะแก่พวกท่านไหมเล่าถึงชายคนหนึ่งที่เขาจะบอกเล่าแก่พวกท่านว่า เมื่อพวกท่านถูกทำให้แตกสลายกระจัดกระจายเป็นผุยผงแล้ว พวกท่านจะถูกบังเกิดขึ้นมาใหม่
[34.8] เขาได้ปั้นความเท็จให้แก่อัลลอฮฺ หรือว่าเขาเป็นบ้าไปแล้ว? หามิได้! บรรดาผู้ไม่ศรัทธาต่อปรโลกนั้น จะอยู่ในการลงโทษและการหลงผิดอันไกลลิบ
[34.9] พวกเขามิเห็นดอกหรือ ถึงสิ่งที่อยู่เบื้องหน้าพวกเขา และสิ่งที่อยู่เบื้องหลังพวกเขา ที่มีอยู่ในฟากฟ้าและแผ่นดิน หากเราประสงค์เราจะให้แผ่นดินสูบพวกเขาลงไปหรือเราจะให้ส่วนต่าง ๆ จากท้องฟ้าหล่นลงมาบนพวกเขา แท้จริง ในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณหนึ่งอย่างแน่นอนแก่บ่าวทุกคนที่หันหน้าเข้าสู่อัลลอฮฺ
[34.10] และโดยแน่นอน เราได้ให้ความโปรดปรานจากเราแก่ดาวู๊ด โอ้ภูเขาเอ๋ย จงแซ่ซ้องสดุดีพร้อมกับเขาและนกด้วย และเราได้ทำให้เหล็กอ่อนสำหรับเขา
[34.11] เจ้าจงทำเสื้อเกราะและทำห่วงของมันให้ได้สัดส่วน และพวกเจ้าจงทำความดีเถิดแท้จริง ข้านั้นรู้เห็นสิ่งที่พวกเจ้ากระทำ
[34.12] และเราได้ให้มีลมพัดแก่สุลัยมาน ซึ่งมันจะพัดไปในยามเช้าเป็นเวลาหนึ่งเดือน และมันจะพัดกลับในยามเย็นเป็นเวลาหนึ่งเดือน และเราได้ให้ไหลมาแก่เขาซึ่งตาน้ำทองเหลือง (คือให้ทองเหลืองที่หลอมตัวเป็นตาน้ำไหลมาสำหรับสุลัยมาน) ในหมู่ญินนั้น มีผู้ทำงานอยู่เบื้องหน้าเขาด้วย อนุมัติแห่งพระเจ้าของเขา และผู้ใดในหมู่พวกเขาหันเหจากพระบัญชาของเรา เราจะให้เขาลิ้มรสการลงโทษที่มีไฟลุกโชติช่วง
[34.13] พวกเขา (ญิน) ทำงานให้เขา (สุลัยมาน) ตามที่เขาต้องการ (เช่นสร้าง) ปราสาทหลายแห่งที่สูงตระหง่าน และบรรดาหุ่นจำลอง และบรรดาโคมใส่อาหารมีขนาดเท่าบ่อน้ำและบรรดาหม้อสำหรับหุงอาหารตั้งอยู่กับที่ พวกเจ้าจงทำงานเถิด วงศ์วานของดาวู๊ดเอ๋ย! ด้วยการขอบคุณ และส่วนน้อยแห่งปวงบ่าวของเราที่เป็นผู้ขอบคุณ
[34.14] ครั้นเมื่อเราได้กำหนดความตายแก่เขา มิได้มีสิ่งใดบ่งชี้แก่พวกเขาถึงความตายของเขา นอกจากปลวกใต้ดินแทะกินไม้เท้าของเขา ดังนั้น เมื่อเขาล้มลงพวกญินก็รู้อย่างชัดแจ้งว่า หากพวกเขารู้ในสิ่งพ้นญาณวิสัยแล้ว พวกเขาจะไม่ต้องมาทนทุกข์ทรมานที่น่าอดสูเช่นนี้
[34.15] โดยแน่นอน สำหรับพวกสะบะอ์นั้นมีสัญญาณหนึ่งในที่อาศัยของพวกเขา มีสวนสองแห่งทางขวาและทางซ้าย พวกเจ้าจงบริโภคจากปัจจัยยังชีพของพระเจ้าของพวกเจ้า และจงขอบคุณต่อพระองค์ อันเป็นดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ และมีพระเจ้าผู้ทรงอภัย
[34.16] แต่พวกเขาได้ผินหลัง ดังนั้น เราจึงปล่อยน้ำจากเขื่อนให้ท่วมพวกเขา และเราได้เปลี่ยนให้พวกเขาสวนสองแห่งของพวกเขา แทนสวนอีกสองแห่ง มีผลไม้ขมและต้นไม้พุ่ม และต้นพุทราบ้างเล็กน้อย
[34.17] เช่นนั้นแหละ เราได้ตอบแทนพวกเขา เนื่องจากพวกเขาเนรคุณ และเรามิได้ลงโทษผู้ใด (ด้วยการลงโทษอย่างรุนแรงเช่นนี้) นอกจากพวกเนรคุณ
[34.18] ระหว่างพวกเขาและระหว่างหัวเมืองต่าง ๆ ซึ่งเราได้ให้ความจำเริญในนั้น เราได้ให้มีขึ้นซึ่งหัวเมืองที่เด่นชัด และเราได้กำหนดการเดินทางไว้ในนั้น พวกเจ้าจงเดินทางไปตามนั้นเถิด ทั้งกลางวันและกลางคืนอย่างปลอดภัย
[34.19] และพวกเขาได้พูดว่า “ข้าแต่พระเจ้าของเรา!ขอพระองค์ได้ทรงทำให้การเดินทางของเรายืดยาวขึ้น” และพวกเขาได้อธรรมต่อตัวพวกเขาเอง ดังนั้นเราจึงได้ทำให้พวกเขาเป็นเรื่องเล่าขานติดต่อกันมา และเราได้ทำให้พวกเขาแตกสลายกระจัดกกระจายกันออกไป แท้จริงในการนี้ย่อมเป็นสัญญาณอันมากหลายอย่างแน่นอนแก่ทุกคนผู้อดทน ผู้กตัญญู
[34.20] และโดยแน่นอน อิบลีสได้ทำให้การนึกคิดของมันที่มีต่อพวกเขาเป็นจริง ดังนั้นพวกเขาจึงได้ปฏิบัติตามมัน เว้นแต่ส่วนน้อยของบรรดาผู้ศรัทธาเท่านั้น
[34.21] และมันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกเขา เว้นแต่เพื่อเราจะได้รู้ว่าผู้ใดศรัทธาต่อวันปรโลก จากผู้ที่เขามีความสงสัยในเรื่องนั้น และพระเจ้าของเจ้านั้นเป็นผู้ทรงดูแลคุ้มครองทุกสิ่งทุกอย่าง
[34.22] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงวิงวอนต่อบรรดาที่พวกท่านจินตนาการ (ว่าเป็นพระเจ้า) อื่นจากอัลลอฮฺพวกมันมิได้ครอบครองแม้แต่เพียงน้ำหนักเพียงเท่าธุลีในชั้นฟ้าทั้งหลาย และแผ่นดินและพวกมันมิได้มีหุ้นส่วนในทั้งสองนั้น และสำหรับพระองค์นั้นมิได้มีผู้ช่วยเหลือมาจากพวกมัน
[34.23] การชะฟาอะฮ์ จะไม่เกิดประโยชน์อันใด ณ ที่พระองค์ นอกจากผู้ที่พระองค์ทรงอนุญาตแก่เขา จนกระทั่งเมื่อความหวาดกลัวได้คลายจากจิตใจของพวกเขา พวกเขากล่าวว่า พระเจ้าของพวกท่านได้ตรัสอะไรนะ พวกเขากล่าวว่าสัจธรรม และพระองค์เป็นผู้ทรงสูงสุด ผู้ทรงยิ่งใหญ่
[34.24] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ใครเป็นผู้ประทานปัจจัยยังชีพแก่พวกท่าน จากชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ว่าอัลลอฮฺ และแท้จริงไม่เราก็พวกท่านแน่นอน ที่อยู่บนแนวทางที่ถูกต้อง หรืออยู่ในการหลงผิดอย่างชัดแจ้ง
[34.25] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับที่เราทำผิด และเราก็จะไม่ถูกสอบถามเกี่ยวกับพวกที่ท่านกระทำ
[34.26] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พระเจ้าของเราจะทรงรวบรวมพวกเราทั้งหมด แล้วพระองค์จะทรงตัดสินระหว่างพวกเราด้วยความจริง และพระองค์คือผู้ทรงตัดสิน ผู้ทรงรอบรู้
[34.27] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงแสดงให้ฉันเห็นบรรดาที่พวกท่านได้นำไปตั้งเป็นภาคีร่วมกับพระองค์ ไม่ดอก! พระองค์คืออัลลอฮฺ ผู้ทรงอำนาจ ผู้ทรงปรีชาญาณ
[34.28] และเรามิได้ส่งเจ้ามาเพื่ออื่นใด เว้นแต่เป็นผู้แจ้งข่าวดีและเป็นผู้ตักเตือนแก่มนุษย์ทั้งหลาย แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้
[34.29] และพวกเขากล่าวว่า เมื่อใดเล่าสัญญานี้ (จะมาถึง) หากพวกท่านเป็นผู้สัตย์จริง
[34.30] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) สำหรับพวกท่านมีกำหนดวันวันหนึ่งซึ่งพวกท่านจะขอผ่อนผันให้ล่าช้าสักระยะหนึ่งก็ไม่ได้ และจะร่นเวลาให้เร็วเข้าก็ไม่ได้
[34.31] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธากล่าวว่า เราจะไม่ศรัทธาต่ออัลกุรอานนี้ และต่อสิ่งที่มีมาก่อนอัลกุรอาน และหากเจ้า (มุฮัมมัด) ได้เห็นเมื่อบรรดาผู้อธรรมจะถูกให้หยุดยืนต่อหน้าพระเจ้าของพวกเขา บางคนในพวกเขาจะกล่าวซัดถ้อยคำแก่อีกคนหนึ่ง บรรดาผู้อ่อนแอกว่า (ลูกน้อง) กล่าวแก่บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า) ว่า หากมิใช่พวกท่านแล้ว แน่นอน พวกเราคงได้เป็นผู้ศรัทธากันแล้ว
[34.32] บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า) ก็กล่าวแก่บรรดาผู้อ่อนแอ (ลูกน้อง) ว่า พวกเรานะหรือที่ได้หน่วงเหนี่ยวพวกท่านจากแนวทางที่ถูกต้องหลังจากที่มันได้มายังพวกท่าน มิใช่เช่นนั้นแต่พวกท่านเองเป็นผู้กระทำผิด
[34.33] บรรดาผู้อ่อนแอ (ลูกน้อง) กล่าวแก่บรรดาผู้หยิ่งยะโส (หัวหน้า) ว่า มิใช่เช่นนั้นดอก! แต่มันเป็นแผนการทั้งกลางคืนและกลางวัน เมื่อพวกท่านใช้ให้พวกเราปฏิเสธศรัทธาต่ออัลลอฮฺ และให้เราตั้งภาคีคู่เคียงกับพระองค์ และพวกเขาจะซ่อนความสำนึกผิดเมื่อพวกเขาได้เห็นการลงโทษ และเราได้คล้องพันธนาการที่คอของบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา พวกเขาจะไม่ได้รับการตอบแทนใด ๆ นอกจากที่พวกเขาได้กระทำไว้
[34.34] และเรามิได้ส่งผู้ที่ตักเตือนคนใดไปยังเมืองใด นอกจากบรรดาผู้ฟุ่มเฟือยของมันจะกล่าวว่า แท้จริง เราเป็นผู้ปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา
[34.35] และพวกเขาได้กล่าวอีกว่า พวกเรามีทรัพย์สินและลูกหลานมากกว่า และพวกเราจะไม่ถูกลงโทษ
[34.36] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริง พระเจ้าของฉันทรงแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และทรงให้คับแคบ แต่ว่าส่วนมากของมนุษย์ไม่รู้
[34.37] และมิใช่ทรัพย์สินของพวกเจ้า และมิใช่ลูกหลานของพวกเจ้าที่จะทำให้พวกเจ้าใกล้ชิดสนิทกับเรา นอกจากผู้ศรัทธาและกระทำความดี ดังนั้นชนเหล่านั้น สำหรับพวกเขาจะได้รับการตอบแทนเป็นสองเท่า ตามที่พวกเขาได้กระทำไว้ และพวกเขาจะพำนักอยู่ในสวนสวรรค์อย่างผู้ปลอดภัย
[34.38] และบรรดาผู้มุ่งมั่นเพื่อทำลายล้างสัญญาณทั้งหลายของเราชนเหล่านัจะถูกนำมาอยู่ต่อหน้า (เรา) ในการลงโทษ
[34.39] จงกล่าวเถิด แท้จริง พระเจ้าของฉันทรงแผ่ปัจจัยยังชีพแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์จากปวงบ่าวของพระองค์ และทรงให้แคบแก่เขา และอันใดที่พวกเจ้าบริจาคสิ่งใดก็ดีพระองค์จะทรงทดแทนมัน และพระองค์นั้นทรงเป็นผู้ดีเลิศแห่งบรรดาผู้ประทานปัจจัยยังชีพ
[34.40] และวันที่พระองค์จะทรงรวบรวมพวกเขาทั้งหมด แล้วพระองค์จะตรัสแก่มะลาอิกะฮ์ว่า พวกเขาเหล่านั้นนะหรือที่เคารพภักดีต่อพวกเจ้า?
[34.41] พวกเขา (มะลาอิกะฮ์) กล่าวว่า มหาบริสุทธิ์แห่งพระองค์ท่าน พระองค์ทรงเป็นผู้คุ้มครองพวกข้าพระองค์ มิใช่พวกเขา แต่พวกเขาเคารพภักดีญิน (ชัยฏอน) ส่วนมากของพวกเขาเป็นผู้ศรัทธาต่อพวกมัน (ชัยฏอน)
[34.42] ดังนั้น วันนี้บางคนในพวกเจ้าไม่มีอำนาจที่จะให้คุณและให้โทษซึ่งกันและกัน และเราจะกล่าวแก่บรรดาผู้กระทำผิดเหล่านั้นว่า พวกเจ้าจงลิ้มรสการลงโทษของไฟนรก ซึ่งพวกเจ้าได้ปฏิเสธมัน
[34.43] และเมื่อบรรดาอายาตอันชัดแจ้งของเราถูกอ่านแก่พวกเขา (มุชริกีน) แล้วพวกเขากล่าวว่านี่มิใช่ใครอื่น นอกจากชายคนหนึ่งที่ปรารถนาจะยับยั้งพวกท่าน จากการที่บรรพบุรุษของพวกท่านได้เคารพภักดีมาก่อน และพวกเขากล่าวว่านี่มิใช่อะไรอื่น นอกจากเรื่องเท็จที่ถูกอุปโลกน์ขึ้น และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวในเรื่องของสัจธรรม เมื่อมันได้มีมายังพวกเขาว่านี่มิใช่อื่นใดเลย นอกจากเล่ห์กลอย่างชัดแจ้ง
[34.44] และเรามิได้ประทานบรรดาคัมภีร์ให้แก่พวกเขา (เพื่อให้) พวกเขาศึกษาค้นคว้ากันและเราก็มิได้ส่ง (บรรดารอซูล) ไปยังพวกเขาก่อนหน้าเจ้า (ในฐานะ) เป็นผู้ตักเตือน
[34.45] และบรรดาผู้มาก่อนหน้าพวกเขาก็ได้ปฏิเสธ (สัจธรรมมาแล้ว) และพวกเขา (กุเรชมักกะฮ์) มิได้มีถึงหนึ่งในสิบของที่เราได้ให้ (ความมั่งคั่ง) แก่พวกเขา กระนั้นก็ดี พวกเขาก็ได้ปฏิเสธบรรดารอซูลของข้า ดังนั้น การปฏิเสธ (ต่อข้าจะมีผล) เป็นอย่างไร (ต่อพวกเขา)
[34.46] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ฉันขอเตือนพวกท่านเพียงข้อเดียวว่า พวกท่านจงยืนขึ้นเพื่ออัลลอฮฺ (ครั้งละ) สองคนและคนเดียว แล้วจงไตร่ตรองดู (ก็จะประจักษ์ว่า) สหายของพวกท่านนั้นมิได้เป็นบ้า แต่เขาเป็นเพียงผู้ตักเตือนพวกท่านถึงการเผชิญหน้ากับการลงโทษอย่างสาหัสเท่านั้น
[34.47] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) ไม่มีรางวัลอันใดที่ฉันจะขอจากพวกท่าน เพราะมันเป็นของพวกท่าน แต่รางวัลของฉันอยู่ที่อัลลอฮฺ และพระองค์ทรงเป็นพยานต่อทุกสิ่ง
[34.48] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) แท้จริงพระเจ้าของฉันทรงให้ความจริงทำลาย (ความเท็จเพราะพระองค์เป็น) ผู้ทรงรอบรู้ในสิ่งเร้นลับทั้งหลาย
[34.49] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) เมื่อความจริงได้ปรากฏขึ้น ความเท็จก็จะไม่เกิดขึ้นและจะไม่กลับมาอีก
[34.50] จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) หากฉันหลงผิดฉันก็หลงผิดเฉพาะตัวของฉันเอง แต่ถ้าฉันอยู่ในแนวทางที่ถูกต้อง นั่นก็คือพระเจ้าของฉันได้ทรงวะฮียฺแก่ฉัน แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินผู้ทรงใกล้ชิด
[34.51] และหากเจ้าได้เห็นเขาที่พวกเขาตื่นตระหนกตกใจ แล้วไม่มีทางหนีรอด และพวกเขาจะถูกจับเอาไปจากสถานที่อันใกล้
[34.52] และพวกเขาก็จะกล่าวว่า พวกเราได้ศรัทธาต่อมัน (ความจริง) แล้ว จะเป็นไปได้อย่างไรที่พวกเขาเรียกร้องจากสถานที่อันใกล้เช่นนี้
[34.53] และแน่นอน พวกเขาได้ปฏิเสธศรัทธามัน (ความจริง) มาก่อนแล้วและพวกเขาขว้างทิ้ง (ปฏิเสธ) สิ่งเร้นลับจากสถานที่อันไกล
[34.54] และระหว่างพวกเขากับสิ่งที่พวกเขาต้องการมีสิ่งกีดขวาง ดั่งเช่นที่ได้ถูกปฏิบัติมาก่อนแล้วกับพลพรรคของพวกเขา แท้จริงพวกเขานั้นอยู่ในความสงสัย ความสนเท่ห์
سورة سبأ
معلومات السورة
الكتب
الفتاوى
الأقوال
التفسيرات

سورةُ (سَبَأٍ) من السُّوَر المكِّية، وقد نزَلتْ بعد سورة (لُقْمانَ)، وافتُتِحت بحمدِ الله وإثباتِ العلم له، وجاءت على ذِكْرِ إثباتِ البعث والجزاء، وأنَّه سبحانه يُعطِي مَن أطاع وآمَن، ويَمنَع من كفَر وجحَد، وقومُ (سَبَأٍ) هم مثالٌ واقعي لكفرِ النعمة وجحودها، ومثالٌ لقدرةِ الله عزَّ وجلَّ في الإيجاد والإعدام والتصرُّف في الكون، و(سَبَأٌ): اسمٌ لرجُلٍ.

ترتيبها المصحفي
34
نوعها
مكية
ألفاظها
884
ترتيب نزولها
58
العد المدني الأول
56
العد المدني الأخير
56
العد البصري
56
العد الكوفي
56
العد الشامي
55

* سورةُ (سَبَأٍ):

سُمِّيت سورةُ (سَبَأٍ) بهذا الاسم؛ لورودِ قصة أهل (سَبَأٍ) فيها، و(سَبَأٌ): اسمٌ لرجُلٍ؛ صح عن عبدِ اللهِ بن عباسٍ رضي الله عنهما أنه قال: «إنَّ رجُلًا سألَ رسولَ اللهِ ﷺ عن سَبَأٍ؛ ما هو؟ أرجُلٌ أم امرأةٌ أم أرضٌ؟ فقال: «بل هو رجُلٌ، ولَدَ عشَرةً، فسكَنَ اليمَنَ منهم ستَّةٌ، وبالشَّامِ منهم أربعةٌ؛ فأمَّا اليمانيُّون: فمَذْحِجٌ، وكِنْدةُ، والأَزْدُ، والأشعَريُّون، وأنمارٌ، وحِمْيَرُ، عرَبًا كلُّها، وأمَّا الشَّاميَّةُ: فلَخْمٌ، وجُذَامُ، وعاملةُ، وغسَّانُ»». أخرجه أحمد (٢٨٩٨).

1. الاستفتاح بالحمد (١-٢).

2. قضية البعث والجزاء (٣-٩).

3. أمثلة عن شكرِ النعمة وكفرها (١٠-٢١).

4. داودُ وسليمان عليهما السلام مثالٌ عملي للأوَّابين الشاكرين (١٠-١٤).

5. قومُ (سَبَأٍ) مثالٌ واقعي لعاقبة كفرِ النِّعمة (١٥-٢١).

6. حوار مع المشركين (٢٢-٢٨).

7. مِن مَشاهدِ يوم القيامة (٢٩-٣٣).

8. التَّرَف والمُترَفون (٣٤-٣٩).

9. عَوْدٌ إلى مَشاهدِ يوم القيامة (٤٠-٤٢).

10. عود إلى حال المشركين في الدنيا (٤٣-٤٥).

11. دعوة للتفكُّر والنظر (٤٦-٥٤).

ينظر: "التفسير الموضوعي لسور القرآن الكريم " لمجموعة من العلماء (6 /172).

مقصدُها هو إثباتُ قدرةِ الله عزَّ وجلَّ على الإيجادِ والإعدامِ والتَّصرُّفِ في الكونِ، يُعطِي مَن شكَر، ويَمنَع مَن جحَد وكفَر، وذلك حقيقٌ منه إثباتُ يوم البعث والجزاء، ووقوعُه لا محالة، وقصَّةُ (سَبَأٍ) أكبَرُ دليل على ذلك المقصد.

ينظر: "مصاعد النظر للإشراف على مقاصد السور" للبقاعي (2 /377).