ترجمة سورة إبراهيم

الترجمة التايلاندية

ترجمة معاني سورة إبراهيم باللغة التايلاندية من كتاب الترجمة التايلاندية.
من تأليف: مجموعة من جمعية خريجي الجامعات والمعاهد بتايلاند .

[14.1] อะลิฟ ลาม รอ คัมภีร์ที่เราได้ประทานลงมาแก่เจ้า เพื่อให้เจ้านำมนุษย์ออกจากความมืดมนทั้งหลาย สู่ความสว่าง ด้วยอนุมัติของพระเจ้าของพวกเขา สู่ทางของพระผู้เดชานุภาพ ผู้ทรงได้รับการสรรเสริญ
[14.2] (คือ) ทางของอัลลอฮฺ ซึ่งสิ่งที่อยู่ในชั้นฟ้าทั้งหลายและสิ่งที่อยู่ในแผ่นดิน เป็นของพระองค์และความหายนะจากการลงโทษอย่างสาหัส จงประสบแก่พวกปฏิเสธศรัทธา
[14.3] บรรดาผู้พอใจเลือกเอาชีวิตในโลกนี้เหนือปรโลก และปิดกั้นจากทางของอัลลอฮฺ และต้องการที่จะให้มันคดเคี้ยว ชนเหล่านั้นอยู่ในการหลงทางที่ห่างไกล
[14.4] และเรามิได้ส่งรอซูลคนใด นอกจากด้วยการพูดภาษาชนชาติของเขา เพื่อจะได้ชี้แจงอย่างชัดแจ้งแก่พวกเขา อัลลอฮฺจะทรงให้ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์หลงทาง และทรงชี้แนะทางแก่ผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ และพระองค์เป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงปรีชาญาณ
[14.5] และโดยแน่นอน เราได้ส่งมูซาพร้อมด้วยสัญญาณต่าง ๆ ของเราว่า จงนำกลุ่มชนของเจ้าออกจากความมืดมนทั้งหลายสู่ความสว่างและจงเตือนพวกเขาให้รำลึกถึงวัน (แห่งความโปรดปราน) ของอัลลอฮฺ แท้จริงในการนั้นย่อมเป็นสัญญาณแก่ผู้อดทนผู้ขอบคุณทุกคน
[14.6] และจงรำลึกขณะที่มูซากล่าวแก่กลุ่มชนของเขาว่า จงรำลึกถึงความโปรดปรานของอัลลอฮฺที่มีต่อพวกท่าน เมื่อพระองค์ทรงให้พวกท่านรอดพ้นจากวงศ์วานของฟิรเอานฺ โดยให้พวกท่านได้ลิ้มรสการทรมานอันชั่วช้าและฆ่าลูกชายของพวกท่าน และไว้ชีวิตผู้หญิงของพวกท่าน และในการนั้นย่อมเป็นการทดสอบอย่างใหญ่หลวง จากพระเจ้าของพวกท่าน
[14.7] และจงรำลึกขณะที่พระเจ้าของพวกเจ้าได้ประกาศว่า หากพวกเจ้าขอบคุณ ข้าก็จะเพิ่มพูนให้แก่พวกเจ้า และหากพวกเจ้าเนรคุณ แท้จริงการลงโทษของข้านั้นสาหัสยิ่ง
[14.8] และมูซาได้กล่าวว่า หากพวกท่านและผู้ที่อยู่ในแผ่นดินทั้งหมดปฏิเสธศรัทธา แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงพอเพียง และทรงได้รับการสรรเสริญอย่างแน่นอน
[14.9] เรื่องราวของบรรดาผู้ที่มาก่อนหน้าพวกเจ้า เช่นกลุ่มชนของนูหฺ อ๊าด และษะมูด และบรรดาผู้ที่มาหลังจากพวกเขา มิได้มาถึงพวกเจ้าดอกหรือ ไม่มีผู้ใดรู้เรื่องของพวกเขา นอกจากอัลลอฮฺ บรรดารอซูลของพวกเขาได้มายังพวกเขา พร้อมด้วยหลักฐานอันชัดแจ้ง พวกเขาได้เอามือปิดปากของพวกเขาเอง และกล่าวว่า แท้จริงเราได้ปฏิเสธศรัทธาในสิ่งที่พวกท่านถูกส่งมา (คืออัลกุรอาน) และแท้จริงพวกเราอยู่ในการสงสัยอย่างแน่นอนต่อสิ่งที่พวกท่านเรียกร้องเรา
[14.10] บรรดารอซูลของพวกเขาได้กล่าวว่า มีการสงสัยในอัลลอฮฺ พระผู้สร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินกระนั้นหรือ พระองค์ทรงเรียกร้องพวกท่านเพื่อทรงยกโทษในความผิดของพวกท่านและทรงผ่อนผันพวกท่าน จนกระทั่งถึงวาระที่ถูกกำหนดไว้ พวกเขากล่าวว่า พวกท่านมิใช่อื่นใดนอกจากเป็นปุถุชนเยี่ยงเรา พวกท่านประสงค์ที่จะกีดกันพวกเราจากสิ่งที่บรรพบุรุษของพวกเราเคยเคารพบูชา ดังนั้นพวกท่านจงนำหลักฐานอันชัดแจ้งมาให้พวกเราซิ
[14.11] บรรดารอซูลของพวกเขากล่าวแก่พวกเขาว่า พวกเรามิใช่อื่นใด นอกจากเป็นปุถุชนเยี่ยงพวกท่าน แต่ทว่าอัลลอฮฺทรงโปรดปรานผู้ที่พระองค์ทรงประสงค์ จากปวงบ่าวของพระองค์ ไม่บังควรแก่เราที่จะนำหลักฐานมาแสดงแก่พวกท่าน เว้นแต่โดยอนุมัติของอัลลอฮฺเท่านั้น และแด่อัลลอฮฺเท่านั้น บรรดามุอฺมินพึงมอบความไว้วางใจเถิด
[14.12] และทำไมเล่าเราจึงไม่มอบความไว้วางใจแด่อัลลอฮฺ และแน่นอนพระองค์ทรงชี้แนะแนวทางทั้งหลายแก่เรา และเราจะอดทนต่อการที่พวกท่านทำร้ายเรา และบรรดาผู้มอบความไว้วางใจพึงไว้วางใจแด่อัลลอฮฺเท่านั้น
[14.13] และบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธาได้กล่าวแก่บรรดารอซูลของพวกเขาว่า แน่นอนเราจะขับพวกท่านออกจากแผ่นดินของเรา หรือว่าพวกท่านจะกลับไปยังศาสนาของเรา ดังนั้นพระเจ้าของพวกเขาทรงวะฮีย์ให้แก่พวกเขา (บรรดารอซูล) ว่า แน่นอน เราจะทำลายพวกอธรรม
[14.14] และแน่นอน เราจะให้พวกท่านพำนักในแผ่นดิน หลังจากพวกเขา นั่นสำหรับผู้ที่กลัวต่อการเผชิญหน้าข้า และกลัวต่อสัญญาการลงโทษของข้า
[14.15] และพวกเขา (บรรดารอซูล) ขอต่อพระองค์ให้ได้รับชัยชนะ และให้ผู้หยิ่งผยองที่ดื้อด้านทุกคนประสบความพินาศ
[14.16] จากเบื้องหลังของเขาคือนรกญะฮันนัม และจะได้ดื่มน้ำจากน้ำหนอง
[14.17] เขาจิบมันแต่ไม่อาจจะกลืนมันได้ และความตายมาหาเขาจากทุกทิศทาง โดยที่เขาก็ไม่ตาย และเบื้องหลังของเขาคือการลงโทษที่รุนแรง
[14.18] อุปมาบรรดาผู้ปฏิเสธศรัทธา ต่อพระเจ้าของพวกเขา การงานของพวกเขาประดุจดังขี้เถ้าเมื่อลมพัดมันไปอย่างแรงในวันมีพายุ พวกเขาไม่มีอำนาจในสิ่งที่พวกเขาแสวงหาไว้แต่อย่างใด นั่นคือการหลงทางที่ไกลลิบ
[14.19] สูเจ้ามิเห็นดอกหรือว่า แท้จริงอัลลอฮฺทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดินด้วยความจริงหากพระองค์ทรงประสงค์ พระองค์ก็จะทรงให้พวกเจ้าสูญสิ้นไป และจะทรงนำมาซึ่งกลุ่มชนรุ่นใหม่
[14.20] และในการนั้นมีใช่เป็นการยากแก่อัลลอฮฺ
[14.21] และพวกเขาได้ออกมาพร้อมกันต่อหน้าอัลลอฮฺ พวกอ่อนแอกล่าวกับพวกหัวหน้าว่า แท้จริงพวกเราเป็นผู้ตามพวกท่าน พวกท่านจะช่วยพวกเราได้อย่างไร ให้พ้นจากการลงโทษของอัลลอฮฺ พวกเขากล่าวว่า หากอัลลอฮฺทรงชี้แนะทางแก่เรา แน่นอนเราก็จะชี้แนะทางแก่พวกท่าน มีผลเท่ากันสำหรับเรา ถึงแม้ว่าเรากระวนกระวายหรือเราอดทน สำหรับพวกเรานั้นไม่มีทางรอดไปได้
[14.22] และชัยตอนได้กล่าวเมื่อการงานได้ถูกตัดสินแล้วว่า แท้จริงอัลลอฮฺได้ทรงสัญญาพวกท่านซึ่งเป็นสัญญาแห่งความจริง และฉันได้สัญญาพวกท่านแล้วฉันได้บิดพริ้วพวกท่าน ฉันไม่มีอำนาจใด ๆ เหนือพวกท่าน นอกจากฉันได้เรียกร้องพวกท่าน แล้วพวกท่านก็ตอบสนองฉัน ดังนั้นพวกท่านอย่าได้ประณามฉัน แต่ทว่าจงประณามตัวพวกท่านเอง ฉันไม่อาจร้องทุกข์แทนพวกท่านได้ และพวกท่านก็ไม่อาจ ร้องทุกข์แทนฉัน (จากการลงโทษของอัลลอฮฺ) ได้ แท้จริงฉันได้ปฏิเสธต่อสิ่งที่พวกท่านตั้งฉันให้เป็นภาคี (กับอัลลอฮฺ) แต่ก่อนนี้ แท้จริงบรรดาผู้อธรรมนั้น สำหรับพวกเขาคือการลงโทษอย่างเจ็บปวด
[14.23] และบรรดาผู้ศรัทธาและกระทำความดีทั้งหลาย ถูกนำให้เข้าสวนสวรรค์มากหลาย มีลำน้ำหลายสายไหลผ่านเบื้องล่าง โดยพำนักอยู่ในนั้นตลอดกาลด้วยอนุมัติของพระเจ้าของพวกเขา การกล่าวคำนับทักทายของพวกเขาในนั้นคือศานติ
[14.24] เจ้ามิเห็นดอกหรือว่า อัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์ไว้ว่า อุปมาคำพูดที่ดีดั่งต้นไม้ที่ดี รากของมันฝังแน่นลึกมั่นคง และกิ่งก้านของมันชูขึ้นไปในท้องฟ้า
[14.25] ผลของมันจะออกมาทุกกาลเวลา โดยอนุมัติของพระเจ้าของมัน และอัลลอฮฺทรงยกอุทาหรณ์แก่ปวงมนุษย์ เพื่อพวกเขาจะได้รำลึก
[14.26] และอุปมาคำพูดที่เลว ดั่งต้นไม้ที่อับเฉาถูกถอนราออกจากพื้นดิน มันไม่มีความมั่นคงเลย
[14.27] อัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้ศรัทธาหนักแน่นด้วยคำกล่าวที่มั่นคง ในการมีชีวิตอยู่ทั้งในโลกนี้ และในปรโลกและอัลลอฮฺทรงให้บรรดาผู้อธรรมหลงทาง และอัลลอฮฺทรงกระทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์
[14.28] เจ้าไม่เห็นดอกหรือ บรรดาผู้เปลี่ยนความโปรดปรานของอัลลอฮฺ เป็นการปฏิเสธศรัทธาและได้นำกลุ่มชนของพวกเขาลงสู่ที่พำนักอันหายนะ
[14.29] นรกญะฮันนัมที่มีเปลวไฟร้อนจัดของมัน และมันเป็นที่พำนักอันชั่วช้า
[14.30] และพวกเขาได้ตั้งภาคีคู่เคียงกับอัลลอฮฺ เพื่อให้พวกเขาหลงทางของพระองค์ จงกล่าวเถิด (มุฮัมมัด) พวกท่านจงร่าเริงกันเถิด เพราะแท้จริงทางกลับของพวกท่านย่อมไปสู่ไฟนรก
[14.31] จงกล่าวแก่ปวงบ่าวผู้ศรัทธาของข้าว่า ให้พวกเขาดำรงการละหมาด และบริจาคสิ่งที่เราได้ให้เป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเขา ทั้งอย่างลับ ๆ และอย่างเปิดเผย ก่อนที่วันหนึ่งจะมาถึงซึ่งไม่มีการซื้อขาย (ต่อรอง) ในวันนั้นและไม่มีการเป็นมิตร
[14.32] อัลลอฮฺผู้ทรงสร้างชั้นฟ้าทั้งหลายและแผ่นดิน และทรงให้น้ำลงมาจากชั้นฟ้า และทรงให้พืชผลงอกเงยออกมาด้วยมัน (จากน้ำ) เพื่อเป็นปัจจัยยังชีพแก่พวกเจ้า และทรงให้เรือเดินสมุทรมีความสะดวกแก่พวกท่าน เพื่อใช้แล่นตามน่านน้ำโดยพระบัญชาของพระองค์ และทรงให้ลำน้ำทั้งหลายเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า
[14.33] และพระองค์ทรงให้ดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ เป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า โดยโคจรเป็นปกติ และทรงให้กลางคืนและกลางวันเป็นประโยชน์แก่พวกเจ้า
[14.34] และพระองค์ทรงประทานแก่พวกเจ้าทุกสิ่งที่พวกเจ้าขอต่อพระองค์ และหากพวกเจ้าจะนับความโปรดปรานของอัลลลอฮฺแล้ว พวกเจ้าก็ไม่อาจจะคำนวณมันได้แท้จริงมนุษย์นั้นอธรรมยิ่งเนรคุณยิ่ง
[14.35] และจงรำลึกเมื่ออิบรอฮีมกล่าวว่า โอ้ พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้เมืองนี้ (มักกะฮ์) ปลอดภัย และทรงให้ข้าพระองค์และลูกหลานของข้าพระองค์พ้นจากการบูชาเจว็ด
[14.36] โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ แท้จริงพวกมันได้ทำให้มนุษย์ส่วนใหญ่หลงทาง ดังนั้นผู้ใดปฏิบัติตามข้าพระองค์ แท้จริงเขาเป็นพวกของข้าพระองค์ และผู้ใดฝ่าฝืนข้าพระองค์ แท้จริงพระองค์เป็นผู้ทรงอภัย ผู้ทรงเมตตา
[14.37] โอ้พระเจ้าของเรา แท้จริงข้าพระองค์ได้ให้ลูกหลานของข้าพระองค์ พำนักอยู่ ณ ที่ราบลุ่มนี้โดยไม่มีพืชผลใด ๆ ซึ่งอยู่ใกล้บ้านอันเป็นเขตหวงห้ามของพระองค์ โอ้พระเจ้าของเรา เพื่อให้พวกเขาดำรงการละหมาด ขอพระองค์ทรงให้จิตใจจากปวงมนุษย์ มุ่งไปยังพวกเขา และทรงประทานปัจจัยยังชีพที่เป็นพืชผลแก่พวกเขา เพื่อว่าพวกเขาจะขอบคุณ
[14.38] โอ้พระเจ้าของเรา แท้จริงพระองค์ทรงรอบรู้สิ่งที่เราปิดบังและสิ่งที่เราเปิดเผย ไม่มีสิ่งใดจะซ่อนเร้นไปจากอัลลอฮฺ ทั้งในแผ่นดินและในชั้นฟ้า
[14.39] การสรรเสริญเป็นของอัลลอฮฺ ผู้ได้ประทานอิสมาอีลและอิสฮากแก่ข้าพระองค์ ขณะที่ข้าพระองค์อยู่ในวัยชรา แท้จริงพระเจ้าของข้าพระองค์เป็นผู้ทรงได้ยินการวิงวอนอย่างแน่นอน
[14.40] โอ้พระเจ้าของข้าพระองค์ ขอพระองค์ทรงให้ข้าพระองค์และจากลูกหลานของข้าพระองค์เป็นผู้ดำรงการละหมาด โอ้พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงตอบรับการวิงวอนของข้าพระองค์ด้วยเทอญ
[14.41] โอ้พระเจ้าของเรา ขอพระองค์ทรงอภัยโทษให้แก่ข้าพระองค์ และแก่บิดามารดาของข้าพระองค์ และแก่บรรดามุอฺมิน ในวันที่การสอบสวนจะมีขึ้น
[14.42] และเจ้าอย่าคิดว่าอัลลอฮฺทรงละเลยต่อสิ่งที่พวกอธรรมปฏิบัติ แท้จริงพระองค์ทรงประวิงเวลาให้พวกเขาจนถึงวันที่สายตาเงยจ้องไม่กระพริบ (วันกิยามะฮ์)
[14.43] พวกเขารีบเร่งเงยศรีษะของพวกเขาขึ้นนัยน์ตาของพวกเขาไม่กระพริบ และจิตใจของพวกเขาลอย
[14.44] และจงเตือนมนุษย์ถึงวันที่การลงโทษจะมาหาพวกเขา บรรดาผู้อธรรมจะกล่าวว่า โอ้พระเจ้าของเรา โปรดประวิงเวลาแก่เราจนถึงกำหนดอันใกล้นี้ เพื่อเราจะได้สนองตอบการเชิญชวนของพระองค์ และเราจะปฏิบัติตามบรรดารอซูล และพวกเจ้ามิได้สาบานแต่ก่อนนี้ดอกหรือว่า พวกเจ้านั้นจะไม่สูญสลาย
[14.45] และพวกเจ้าได้พำนักอยู่ในสถานที่ของบรรดาผู้อธรรมแก่ตัวของพวกเขาเอง และเป็นที่ประจักษ์แจ้งแก่พวกเจ้าแล้วว่า เราได้กระทำแก่พวกเขาอย่างไร และเราได้ยกอุทาหรณ์แก่พวกเจ้าแล้ว
[14.46] และแน่นอนพวกเขาได้วางแผนของพวกเขา และแผนของพวกเขาอยู่ที่อัลลอฮฺ ถึงแม้ว่าแผนของพวกเขาจะทำให้ภูเขาเคลื่อนย้ายไปก็ตาม
[14.47] และแท้จริงเจ้าอย่าคิดเลยว่า อัลลอฮฺจะทรงเป็นผู้ผิดสัญญากับบรรดารอซูลของพระองค์ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นเป็นผู้ทรงเดชานุภาพ ผู้ทรงตอบโต้อย่างเด็ดขาด
[14.48] วันซึ่งแผ่นดินจะถูกเปลี่ยนเป็นอื่นจากแผ่นดินนี้ และชั้นฟ้าทั้งหลาย (ก็เช่นเดียวกัน) พวกเขาจะปรากฎตัวต่อหน้าอัลลอฮฺ ผู้ทรงเอกะ ผู้ทรงพิชิต
[14.49] และวันนั้นเจ้าจะเห็นบรรดาอาชญากรถูกล่ามตรึงไว้ด้วยโซ่
[14.50] เครื่องนุ่งห่มของพวกเขาทำด้วยวัสดุไหม้ไฟ และไฟจะลุกคลุมใบหน้าของพวกเขา
[14.51] เพื่ออัลลอฮฺจะได้ทรงตอบแทนทุกชีวิตตามที่มันได้แสวงหาไว้ แท้จริงอัลลอฮฺนั้นทรงฉับพลันในการสอบสวน
[14.52] นี่คือการประกาศ แก่ปวงมนุษย์ เพื่อพวกเขาจะถูกเตือนด้วยมัน และเพื่อพวกเขาจะได้รู้ว่า แท้จริงพระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงเอกะ และเพื่อบรรดาผู้มีสติจะได้รำลึก
سورة إبراهيم
معلومات السورة
الكتب
الفتاوى
الأقوال
التفسيرات

سورةُ (إبراهيمَ) مِن السُّوَر المكية، وجاءت هذه السورةُ الكريمة على ذِكْرِ مسائل الاعتقاد، والتوحيد، وآياتِ الله عز وجل في هذا الكونِ، كما دعَتْ إلى اتباع الدِّين الخالص: {مِلَّةَ ‌إِبْرَٰهِيمَ ‌حَنِيفٗاۖ}، وقد سُمِّيتْ باسمه عليه السلام، ودعت إلى اتباع الطريق الحقِّ التي دعا إليها كلُّ الأنبياء، كما أورَدتْ ذِكْرَ الجنة والنار، وحال كلٍّ من الفريقين؛ ترغيبًا في الاتباع والطاعة، وترهيبًا عن المعصية والمخالفة، واحتوت على ذِكْرِ عظمة الله في هذا الكونِ الفسيح؛ تثبيتًا للنبيِّ صلى الله عليه وسلم، ومَن والاه.

ترتيبها المصحفي
14
نوعها
مكية
ألفاظها
831
ترتيب نزولها
72
العد المدني الأول
54
العد المدني الأخير
54
العد البصري
51
العد الكوفي
52
العد الشامي
55

* قوله تعالى: {يُثَبِّتُ اْللَّهُ اْلَّذِينَ ءَامَنُواْ بِاْلْقَوْلِ اْلثَّابِتِ فِي اْلْحَيَوٰةِ اْلدُّنْيَا وَفِي اْلْأٓخِرَةِۖ} [إبراهيم: 27]:

عن البَراءِ بن عازبٍ رضي الله عنهما، قال: «نزَلتْ في عذابِ القَبْرِ، فيقال له: مَن رَبُّك؟ فيقول: رَبِّي اللهُ، ونَبيِّي محمَّدٌ ﷺ؛ فذلك قولُهُ عز وجل: {يُثَبِّتُ اْللَّهُ اْلَّذِينَ ءَامَنُواْ بِاْلْقَوْلِ اْلثَّابِتِ فِي اْلْحَيَوٰةِ اْلدُّنْيَا وَفِي اْلْأٓخِرَةِۖ} [إبراهيم: 27]». أخرجه مسلم (٢٨٧١).

* سورة (إبراهيمَ):

سُمِّيتْ سورة (إبراهيمَ) بذلك؛ لأنها تحدَّثتْ - بشكل رئيسٍ - عن سيدنا (إبراهيمَ) عليه السلام، وعَلاقةِ ذلك بالتوحيد.

جاءت موضوعاتُ سورة (إبراهيم) على النحوِ الآتي:

1. منزلة القرآن الكريم، وحُجِّيته على الناس جميعًا (١-٤).

2. دعوة الرُّسل في الإخراج من الظُّلمات إلى النور (٥-٨).

3. استفتاح الرسل بالنصر على أعدائهم (للدعاة) (٩-١٨).

4. نعيم أهل الجنة، وعذاب أهل النار (١٩- ٣١).

5. عظمة الله في الكون، ونِعَمُه على خَلْقه (٣٢- ٣٤).

6. نبأ إبراهيم عليه السلام في دعوته (٣٥- ٤١).

7. صُوَر من مشاهدِ يوم القيامة (٤٢-٥٢).

ينظر: "التفسير الموضوعي للقرآن الكريم" لمجموعة من العلماء (4 /1).

مقصودُ سورة (إبراهيمَ) هو التوحيدُ، وبيانُ أن هذا الكتابَ غايةُ البلاغ إلى الله؛ لأنه كافل ببيان الصراط الدالِّ عليه، المؤدي إليه، وأدلُّ ما فيها على هذا المَرامِ: قصةُ (إبراهيم) عليه السلام.

أما أمرُ التوحيد في قصة (إبراهيم) عليه السلام: فواضحٌ في آيات كثيرة من القرآن، والتوحيدُ هو ملَّةُ (إبراهيمَ) عليه السلام، التي حكَم اللهُ تعالى على مَن رَغِب عنها بقوله: {وَمَن ‌يَرْغَبُ ‌عَن مِّلَّةِ إِبْرَٰهِـۧمَ إِلَّا مَن سَفِهَ نَفْسَهُۥۚ} [البقرة: 130]. وقال الله تعالى في هذه السُّورةِ مبينًا حِرْصَ (إبراهيمَ) عليه السلام على التوحيد: {وَإِذْ قَالَ إِبْرَٰهِيمُ رَبِّ اْجْعَلْ هَٰذَا اْلْبَلَدَ ءَامِنٗا وَاْجْنُبْنِي وَبَنِيَّ أَن نَّعْبُدَ اْلْأَصْنَامَ (35) ​رَبِّ إِنَّهُنَّ أَضْلَلْنَ كَثِيرٗا مِّنَ اْلنَّاسِۖ فَمَن تَبِعَنِي فَإِنَّهُۥ مِنِّيۖ وَمَنْ عَصَانِي فَإِنَّكَ غَفُورٞ رَّحِيمٞ (36)} [إبراهيم: 35-36].

وأما أمرُ الكتاب: فلأنه من جملةِ دعائه لذريتِه الذين أسكَنهم عند البيت المُحرَّم؛ ذريةِ (إسماعيلَ) عليه السلام: {رَبَّنَا وَابْعَثْ فِيهِمْ رَسُولًا مِنْهُمْ يَتْلُو عَلَيْهِمْ آيَاتِكَ وَيُعَلِّمُهُمُ الْكِتَابَ وَالْحِكْمَةَ وَيُزَكِّيهِمْ}[سورة البقرة: 129].

ينظر: "مصاعد النظر للإشراف على مقاصد السُّور" للبقاعي (2 /198).